ตลาดเงินตรากับตลาดหุ้นแตกต่างกัน

การลงทุนในหุ้นจะได้รับผลตอบแทนเมื่อบริษัทเติบโตหรือมีการแจกจ่ายกำไร แต่ตลาดเงินตราต่างประเทศนั้นเป็นเกมที่มีมาตรฐาน คือ เดิมพันว่าคุณจะแพ้หรือจะชนะ นั่นคือเกมที่ต่อสู้กันเหมือนเวทีต่อสู้ ทุกคนต้องจ่ายค่าลงทะเบียนเพื่อเข้าสู้ สมาชิกลำดับต้น ๆ จะสามารถชนะรางวัลทั้งหมด การจะเอาชนะในการลงทุน คุณต้องมีความเข้าใจและทัศนคติที่ถูกต้อง รวมถึงต้องมีหลักการที่สามารถนำมาใช้ได้จริง ดังนั้นจึงมีความรู้พื้นฐานที่จะช่วยให้คุณเป็นผู้ชนะได้

หลักการที่หนึ่ง: สะสมประสบการณ์

ประสบการณ์เป็นกุญแจสำคัญในการลงทุนหรือเก็งกำไร การสะสมประสบการณ์อาจต้องเสียค่าใช้จ่าย ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุนที่มากเกินไปในระหว่างการเรียนรู้แนะนำให้ใช้การจำลองการสั่งซื้อเพื่อฝึกฝนก่อน

หลักการที่สอง: เรียนรู้การหยุดขาดทุน

การหยุดขาดทุนเป็นหลักสูตรพื้นฐานนอกจากจะใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคและการประเมินราคาแล้ว การตั้งจุดหยุดขาดทุนสำหรับเงินลงทุนก็สำคัญ ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณมีเงิน 100,000 บาท แต่ควรลงทุนในแต่ละครั้งไม่เกิน 20,000 บาท ถ้าขาดทุน 30 หรือ 50 จุด ควรหยุดการขาดทุน และถ้าขาดทุนสะสมถึง50% แล้วยังไม่สามารถเข้าใจหลักการทำกำไรได้ ควรจะพิจารณาให้เหมาะสมที่สุดในการหาทางเลือกในการสร้างรายได้อื่นๆ

หลักการที่สาม: การเฉลี่ยต้นทุน

การเฉลี่ยต้นทุนสามารถทำได้เพียงครั้งเดียว ในกรณีที่คุณเริ่มทำการซื้อขายหากคุณวิตกกังวลว่าตลาดจะเคลื่อนไหวเร็วเกินไปคุณอาจไล่ราคามาหมายถึงคุณสร้างตำแหน่งที่ต้นทุนสูง แต่ถ้าวันหลังตลาดทดสอบกลับมาในจุดที่คุณตั้งใจจะเข้าซื้อ อาจจะใช้แนวคิดการซื้อขายหุ้นในการเฉลี่ยราคาต้นทุนมากขึ้น แต่การเฉลี่ยต้นทุนนี้ไม่ควรทำเกินครั้งเดียว หากราคาตกลงพิจารณาว่าคุณมองผิดจึงควรขายออก

หลักการที่สี่: หลีกเลี่ยงการวางเดิมพันด้วยเงินก้อน

ถึงแม้ว่าคุณมั่นใจในตลาดมากแค่ไหนก็ไม่ควรวางเดิมพันด้วยเงินก้อนใหญ่ การพูดง่ายแต่ผู้เขียนก็เคยทำผิดพลาดเช่นนี้ เมื่อเริ่มต้นปีมีความคิดว่าการขายดอลลาร์จะถูกกดดันมากประจวบกับมีหลายเหตุการณ์ที่ดูเหมือนจะซ้ำซ้อนกับการดิ่งลงเมื่อปีที่แล้ว แต่พอคำนวณผิดคิดว่าควรจะมีการลดลงมากกว่า 100 จุด ในระหว่างกระบวนการขยายจำนวนมาก ผมก็ถูกบังคับให้หยุดขาดทุนออกมา

หลักการที่ห้า: ใช้เงินที่ได้มาเพิ่มความเสี่ยง

การเพิ่มความเสี่ยงเป็นศิลปะในการทำการค้าเงินตราอีกอย่างหนึ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ในที่นี้ แต่การมีหลักการใหญ่คือการเพิ่มความเสี่ยงโดยหลักการที่จะสร้างผลกำไรในช่วงตลาดสูงสุด อย่างไรก็ตามในช่วงที่ตลาดเริ่มพุ่งขึ้นใครๆก็ไม่สามารถบอกได้ว่านี่คือตลาดวงจรหรือว่ามันเพียงมีการสั่นสะเทือนในช่วงเวลา ดังนั้นจึงควรอยู่ในสถานะที่มีผลกำไรก่อนที่จะเพิ่มความเสี่ยง จะทำให้แรงกดดันทางจิตใจลดลง การเพิ่มความเสี่ยงไม่ควรทำในคราวเดียวแต่ควรทำทีละเล็กละน้อยตามกราฟ K-line เช่น 15 นาที, 30 นาที หรือ 60 นาที ทำได้ก็ต่อเมื่อราคาปิดสูงกว่าราคาต่ำสุดก่อน (ในกรณีการซื้อขาย) ไม่อย่างนั้นก็รอให้เหตุการณ์ชัดเจนกว่านี้

หลักการที่หก: พิจารณาทิศทางของแนวโน้ม

นักลงทุนสามารถใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ของไตรมาสในการพิจารณาทิศทางว่าแนวโน้มเป็นอย่างไร ณ ขณะนี้ดัชนีอยู่เหนือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ของไตรมาส ตลาดเคลื่อนไหวสูงสุดอย่างต่อเนื่องแต่ยังไม่มีแนวโน้มใหม่ที่ต่ำ ดังนั้นจึงควรใช้กลยุทธ์ซื้อก่อนแล้วจึงขาย อย่างไรก็ตาม ณ เวลานี้การเพิ่มขึ้นของเงินต่างประเทศมากขึ้นอาจมีความเสี่ยงหากทำการซื้อตามยอดสูงที่สดใหม่ ควรหาแนวรับที่สำคัญในการเข้าซื้อเพื่อทำกำไรเป็นแนวทางที่เหมาะสมกว่า

หลักการที่เจ็ด: ต้องขายในเวลาที่เหมาะสม

ทันทีที่คุณกลายเป็นนักลงทุนที่สามารถทำกำไรจากเงินตราต่างประเทศ การรักษากำไรนั้นถือเป็นวิชาใหม่ คุณสามารถตั้งค่าใช้จ่ายสูงสุดสำหรับบัญชี เช่น การตั้งค่าจำกัดการลงทุนให้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท เมื่อถึงจำนวนที่ตั้งไว้ให้เบิกเข้าธนาคารได้ หรือสามารถตั้งการลงทุนรายเดือนอย่างจำกัดไว้ที่ 50,000 บาท ใช้แต่ส่วนที่ทำกำไรมาในการเพิ่มความเสี่ยง