ตลาด Forex ไม่มีตลาดกลาง

ก่อนอื่น ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราไม่มีตลาดกลาง เช่น ตลาดหลักทรัพย์หรือตลาดอื่นๆ เช่น Nasdaq, LME, CBOE และอื่นๆ ค้าขายเงินตราเป็นตลาดระดับโลก ตลาดนี้เป็นตลาดไร้ตัวตนที่เชื่อมโยงผู้เข้าร่วมผ่านเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่ (ในปี 2017 มีการซื้อขายเฉลี่ยมากกว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์ต่อวัน) ไม่มีผู้นำตลาด ไม่มีระบบ T+1 ที่น่ารำคาญ ไม่มีข้อจำกัดในการขายชอร์ต และไม่มีการตั้งจุดขายที่สูงหรือต่ำเกินไป ตลาด Forex จึงเป็นระบบนิเวศขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วยปลาขนาดใหญ่ (เจ้ามือหลัก, ธนาคารกลางของแต่ละประเทศ), ปลาขนาดเล็ก (ธนาคารอื่นๆ, ธนาคารลงทุน, สถาบันการเงิน) และลูกกุ้ง (สถาบันหรือบุคคลที่มีเงินทุนขนาดใหญ่) เป็นต้น ขณะนี้ มีตลาดแลกเปลี่ยนบางแห่งที่เสนอสินทรัพย์อนุพันธ์ที่อิงจากคู่เงิน เช่น CME ที่มีสัญญาฟิวเจอร์สแลกเปลี่ยนเงินตรา และ EUREX ก็ได้เสนอฟิวเจอร์สแลกเปลี่ยนเงินตราเช่นกัน แต่ปริมาณการซื้อขายของตลาดเหล่านี้มีข้อจำกัดเกี่ยวกับการควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา

ผู้ค้าหลักและบทบาทของพวกเขา

เรามาพูดถึงผู้ค้าหลัก พวกเขาคือกลุ่มที่สำคัญในตลาดนี้ พวกเขามีทุนที่แข็งแกร่งและฐานลูกค้าที่หลากหลาย พร้อมระบบที่มีความเป็นมืออาชีพและเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพ ในตลาด Forex มีอำนาจในการทำตลาด สร้างเป็นผู้ค้าเงินตรา ราคาที่ผู้ค้าเหล่านี้ทำการซื้อขายนั้นกลายเป็นราคาตลาดของคู่เงิน โดยการกระจายราคาผ่านเครือข่ายที่ทันสมัยไปทั่วโลก ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณดูที่นี่ ธนาคาร HSBC ได้ขาย 5 พันล้านยูโร/USD ให้กับ Citibank ในราคา 1.1730 ซึ่งเป็นราคาของ EUR/USD ในเวลานั้น หากคุณเปิดมือถือของคุณจากที่ไกลออกไปและตรวจสอบราคา EUR/USD ราคาในขณะนั้นจะแสดงเป็น 1.1730 การเป็นผู้ค้าหลักไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่ว่าทุกคนสามารถเป็นผู้ค้าหลักได้ แม้ว่าจะไม่มีเงื่อนไขการเข้าร่วมที่เข้มงวด แต่ความสามารถทางการเงินทำให้คนทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงได้

การแลกเปลี่ยนและแพลตฟอร์มการซื้อขาย

ต่อไปเราจะพูดถึง EBS, Currenex, FXall, และ Bloomberg FXGO ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตรา ไม่ถือว่าเป็นตลาดโดยตรง ภาพด้านล่างคือ FXall ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ใช้ แพลตฟอร์มอื่นๆ ก็มีลักษณะคล้ายคลึงกัน นี่คืออินเทอร์เฟซราคา USD/JPY ด้านซ้ายคือราคา bid และด้านขวาคือราคา ask บางทีคุณอาจไม่เข้าใจสิ่งนี้ เราขอแนะนำให้คุณศึกษาทางการเงิน เพิ่มเติม ด้านล่างมีชื่อ BNK1, BNK2 ซึ่งในขอบเขตจริงคือชื่อของผู้ค้าหลักต่างๆ เช่น BNK1 อาจหมายถึง Deutsche Bank, BNK2 อาจหมายถึง UBS เป็นต้น

ข้อดีและชข้อด้อยของแพลตฟอร์มการซื้อขาย

แนวทางคิดคือ แพลตฟอร์มเหล่านี้ทำให้การทำธุรกรรมสะดวกยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับเว็บไซต์จองตั๋วเครื่องบินและโรงแรมไม่ได้จัดหาเครื่องบินและที่พัก แต่เพียงช่วยให้คุณจองได้ง่ายขึ้น ดังนั้นอย่าคิดว่าแพลตฟอร์มเหล่านี้เป็นตลาด Forex โดยตรง ในการทำธุรกรรมบนแพลตฟอร์มเหล่านี้ จะมีการเชื่อมต่อกับคู่ค้าการค้าแบบโดยตรง ซึ่งไม่มีความแตกต่างจากการโทรหาคู่ค้าของคุณเพื่อทำธุรกรรม

จุดเด่นของผู้ค้าใหญ่

แน่นอนว่าผู้ค้าที่มีขนาดใหญ่บางรายได้พัฒนาแพลตฟอร์มของตนเอง เช่น Citi’s Velocity และ Deutsche’s Autobahn ตัวอย่างคือ Velocity จาก Citibank ก็ไม่แตกต่างจากที่คุณทำการซื้อขายในแพลตฟอร์มอื่นๆ ราคาที่เสนออาจไม่แข่งขันมากนักเพราะแพลตฟอร์มเหล่านั้นรวมราคาที่ดีที่สุดจากผู้ค้าหลายราย แต่การซื้อขายในแพลตฟอร์มนี้เกี่ยวข้องกับ Citibank เท่านั้น

ต้นทุนในการเป็นผู้ค้า

การเป็นแพลตฟอร์มการซื้อขายที่ปราศจากการควบคุมอย่างเฉพาะเจาะจงก็ต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงมาก ขึ้นอยู่กับว่าผู้ค้าใหญ่ต้องลงทุนเพื่อเปิดบัญชีซื้อขายกับแบงก์ใหญ่ พูดง่ายๆ ว่าจะทำการซื้อขายจะต้องจ่ายค่ามัดจำและก่อนทำการเปิดบัญชีต้องเข้าใจว่าหากผู้ค้าไม่สามารถรับมือได้จะต้องถูกขับออกจากตลาด

การเลือกแพลตฟอร์ม

เมื่อคุณเลือกแพลตฟอร์ม ควรพิจารณาถึงเวลาที่แพลตฟอร์มนี้ถูกก่อตั้งขึ้น เพราะยิ่งก่อตั้งมานาน ยิ่งแสดงถึงศักยภาพสามารถทำการค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ มิฉะนั้นไม่ได้ทั้งการซื้อขายและเงื่อนไขการแลกเปลี่ยนที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จในอุตสาหกรรม Forex นี้