ส่วนต่างระหว่างราคาซื้อและราคาขายในการเทรดฟอเร็กซ์
1. ราคาซื้อ (Bid Price)
ราคาซื้อคือราคาที่ตลาดพร้อมจะซื้อสกุลเงินคู่หนึ่ง ซึ่งหมายความว่าผู้เทรดสามารถขายสกุลเงินฐานได้ในราคานี้ ตัวอย่างเช่น ในคู่ EUR/USD หากราคาซื้อคือ 1.2000 หมายความว่าผู้เทรดสามารถขาย 1 ยูโร และได้รับ 1.2000 ดอลลาร์
2. ราคาขาย (Ask Price)
ราคาขายคือราคาที่ตลาดพร้อมจะขายสกุลเงินคู่หนึ่ง ซึ่งหมายความว่าผู้เทรดสามารถซื้อสกุลเงินฐานในราคานี้ ตัวอย่างเช่น ในคู่ EUR/USD หากราคาขายคือ 1.2005 หมายความว่าผู้เทรดจะต้องจ่าย 1.2005 ดอลลาร์เพื่อซื้อ 1 ยูโร
3. สเปรด (Spread)
สเปรดคือส่วนต่างระหว่างราคาซื้อและราคาขาย ซึ่งเป็นต้นทุนที่ผู้เทรดต้องจ่ายเมื่อทำการเปิดสถานะในตลาดฟอเร็กซ์ สเปรดมักจะแสดงเป็น "จุด" (Pip) ในอัตราแลกเปลี่ยน ตัวอย่างเช่น ในคู่ EUR/USD หากราคาซื้อคือ 1.2000 และราคาขายคือ 1.2005 สเปรดคือ 5 จุด
4. ประเภทของสเปรด
สเปรดสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภท:
- สเปรดคงที่: สเปรดจะคงที่ตลอดเวลา แม้ตลาดจะมีความผันผวน
- สเปรดลอยตัว: สเปรดจะแปรผันตามสภาวะตลาด โดยจะต่ำเมื่อมีสภาพคล่องสูงและสูงขึ้นเมื่อมีความผันผวนในตลาด
5. ปัจจัยที่มีผลต่อสเปรด
สเปรดได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย ได้แก่:
- สภาพคล่องของตลาด: คู่สกุลเงินที่มีสภาพคล่องสูงมักจะมีสเปรดต่ำ เช่น EUR/USD
- ความผันผวนของตลาด: ในช่วงที่ตลาดผันผวนสูง เช่น ระหว่างการประกาศข่าวเศรษฐกิจ สเปรดอาจขยายขึ้น
- ช่วงเวลาการซื้อขาย: สเปรดมักจะเล็กที่สุดในช่วงที่ตลาดลอนดอนและนิวยอร์กเปิด
- ประเภทของโบรกเกอร์: โบรกเกอร์ที่เป็น Market Maker มักจะมีสเปรดคงที่ ขณะที่ ECN โบรกเกอร์มักจะมีสเปรดลอยตัว
6. การจัดการต้นทุนจากสเปรด
เพื่อจัดการต้นทุนจากสเปรด ผู้เทรดสามารถ:
- เลือกโบรกเกอร์ที่มีสเปรดต่ำ
- เลือกเทรดคู่สกุลเงินที่มีสภาพคล่องสูง เช่น EUR/USD
- หลีกเลี่ยงการเทรดในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง
7. ผลกระทบของสเปรดต่อกำไร
สเปรดมีผลกระทบโดยตรงต่อกำไรของผู้เทรด หากสเปรดกว้าง ผู้เทรดจะต้องรอให้ราคาขยับไปในทิศทางที่ต้องการมากขึ้นก่อนที่จะทำกำไรได้
สเปรดเป็นต้นทุนที่สำคัญในการเทรดฟอเร็กซ์ การทำความเข้าใจสเปรดและวิธีการจัดการต้นทุนจากสเปรดสามารถช่วยให้ผู้เทรดเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและลดต้นทุนในการเทรดได้